จากกรณีเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 พระสมเจตน์ เตชะธโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดเทพบุตร ต.ห้วยใหญ่ อ.ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.สุภชาติ วสุสกุลเจริญ สว.สอบสวน สภ.ห้วยใหญ่ ว่าถูกคนร้ายก่อเข้าไปก่อเหตุลักทรัพย์ ภายในกุฏิ กวาดเอาทรัพย์สินไปเป็นเงินสด 200,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่จะซื้อกระเบื้องปูพื้นศาลาปฎิบัติธรรม และพระเครื่องวัดดัง 20 องค์ มีดหมอลงอาคม 1 เล่มไป ซึ่งหลังเกิดเหตุได้รู้ตัวผู้ต้องสงสัย จึงได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์พร้อมแจ้งเบาะแสของคนร้าย
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 16 สิงหาคม 2563 พ.ต.อ.อภิชนัน วัฒนวรากูล ผกก.สภ.ห้วยใหญ่ พ.ต.ท.เอกรินทร์ สิกขากูล รองผกก.สืบสวน สภ.ห้วยใหญ่ นำกำลังออกติดตามคนร้ายจากเบาะแสจากทางวัดได้แจ้ง จนกระทั่งทราบว่าตัวผู้ต้องสงสัย เข้าไปใช้บริการร้านตัดผมภายในศูนย์การค้ากลางเมืองพัทยา จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองพัทยาควบคุมตัวไว้ ก่อนจะนำตัวมาสอบสวนยังสภ.ห้วยใหญ่ ทราบชื่อต่อมาคือสมชาย ลายขาว อายุ 48 ปี ชาวจังหวัดนครพนม
โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเปิดเผยว่าก่อนการจับกุมนั้นได้มีนายสรายุทธ ท่าหิน อายุ 29 ปี พลเมืองดีทราบข่าว จึงได้ให้เบาะแสของคนร้าย ได้นำเงินเข้าไปเที่ยวภายในสถานบันเทิงในเขตพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งขณะนั้นการ์ดของสถานบันเทิงได้ตรวจยึดอาวุธมีด ลักษณะเป็นมีดหมอลงอาคม ซึ่งมีลักษณะตรงกับของพระสมเจตน์ ที่ได้แจ้งไว้ จากนั้นผู้ก่อเหตุได้นำเงินจำนวนมากเข้าไปเที่ยวและแจกจ่ายให้กับหญิงสาวภายในสถานบันเทิง สร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังนำเงินไปซื้อสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทให้กับผู้หญิงอีกด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่รู้เบาะแสจึงได้ออกติดตาม จนกระทั่งเจอตัวนั่งหลับอยู่ภายในศูนย์การค้า จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองพัทยาควบคุมตัวไว้ดังกล่าว
เบื่องต้นสมชาย ลายขาว อายุ 48 ปี ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง ส่วนของกลางเงินสด และพระเครื่องตนเองจำไม่ได้ว่าไปไหนหมดแล้ว จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเคยถูกจำคุกในคดีลักทรัพย์มาแล้วหลายครั้ง จึงได้ควบคุมตัว พร้อมรวบรวมหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดของสถานบันเทิงที่บันทึกภาพพฤติกรรมขณะผู้ก่อเหตุนำเงินไปแจกให้กับผู้หญิงไว้ได้ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้พระสมเจตน์ เตชะธโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดเทพบุตร ยังฝากประชาสัมพันถึงผู้ที่ได้รับเงิน ซึ่งเป็นเงินที่จะนำมาทำนุบำรุงวัดและพระเครื่องไป หากสามารถนำมาคืนได้ทางวัดก็ยินดี แต่หากว่าจำเป็นจะต้องนำเงินจำนวนนั้นไปเลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่เป็นไร