หน้าแรก ข่าวประชาสัมพันธ์ ถึงเวลากลับไม่ทำ…กรณี “บ้านสุขาวดี” ปลูกอาคารโครงเหล็กรุกที่ดินสาธารณะที่ยื้อกันมานาน สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดออกคำสั่งยกเลิกการคุ้มครอง แต่จนถึงปัจจุบันเมืองพัทยายังไม่ดำเนินการอะไรที่เป็นรูปธรรม

ถึงเวลากลับไม่ทำ…กรณี “บ้านสุขาวดี” ปลูกอาคารโครงเหล็กรุกที่ดินสาธารณะที่ยื้อกันมานาน สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดออกคำสั่งยกเลิกการคุ้มครอง แต่จนถึงปัจจุบันเมืองพัทยายังไม่ดำเนินการอะไรที่เป็นรูปธรรม

213
0
แบ่งปัน

            จากกรณีที่เมืองพัทยา ได้ลงพื้นที่ปิดหมายประกาศยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบ คุมอาคาร พ.ศ.2522 และทำการปิดหมายประกาศคำสั่งใหม่แบบ ค.3, ค.4, ค.7 และ ค.10 ในอาคาร 3 หลังภายในบ้าน “บ้านสุขาวดี” ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยระบุว่ามีการบุกรุกที่สาธารณะและยังมีการก่อ สร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังไม่ได้ระยะตามแนวร่นจากระดับน้ำทะเลในระยะ 20 เมตร ตามประ กาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการดำเนินงานใหม่ในรอบที่ 2 หลังออกประกาศคำสั่งในครั้งแรก “บ้านสุขาวดี” ในนามของบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี กระทั่งมีการพิจารณาว่าประกาศคำสั่งเมืองพัทยายังไม่ครบองค์ประกอบและเหตุผลในการรื้อถอนไม่ครบถ้วนจึงให้มีการดำเนินการออกคำสั่งใหม่นั้น

            ซึ่งที่ผ่านมาเมืองพัทยาจึงปิดหมายประกาศยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอา คาร พ.ศ.2522 ไป และทำการปิดหมายประกาศคำสั่งแบบ ค.3, ค.4, ค.7 และ ค.10 ในอาคารจำนวน 3 หลังใหม่เพื่อความถูกต้องและตรงตามคำสั่งของภาครัฐ ภายใน “บ้านสุขาวดี” ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

            โดยขณะนั้นมีการลงนามจาก นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา เพื่อดำเนินการกับอาคารที่ตรวจพบว่ามีปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะและมีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งอาคารที่มีการก่อสร้างโดยไม่เว้นระยะตามแนวร่นจากระดับน้ำทะเลในระยะ 20 เมตร ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการดำเนินงานใหม่ในรอบที่ 2 เนื่องจากการออกประกาศคำสั่งครั้งแรก “บ้านสุขาวดี” ในนามบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี จนมีผลการพิจารณาว่าประกาศคำสั่งเมืองพัทยา ยังไม่ครบองค์ประกอบและเหตุผลในการรื้อถอนไม่ครบถ้วนจึงให้มีการดำเนินการใหม่

            โดยในส่วนของอาคาร A ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างอยู่บนพื้นที่ดินสาธารณะขนาด 11 ไร่ 1 งาน ที่สร้างอาคารเป็นโครงเหล็ก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง และป้ายโฆษณาจำนวน 2 ป้าย ซึ่งผู้ถูกฟ้องให้มีคั่งระ งับการรื้อถอนตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง หรือให้ระงับอาคารตามาตรา 41 วรรคหนึ่ง เลขที่ 34/2564 ลงวันที่ 22 ก.พ.2564 ตมแบบ ค.7 โดยให้เหตุผลว่าอาคารดังกล่าวตั้งอยู่พื้นที่แย้งว่าเป็นที่งอกตามธรรมชาติแต่เมืองพัทยามั่นใจว่าจากแนวเขตการรังวัดและภาพถ่ายทางอากาศ เป็นการบุกรุกพื้นที่อย่างแน่ นอน จึงถือว่ายังไม่ยุติเพราะเป็นข้อพิพาทเพื่อรอผลการตรวจสอบ ขณะที่อาคาร B และ C ซึ่งบ้านสุขาวดีแจ้งว่าเป็นอาคารที่น้ำท่วมไม่ถึงนั้น เมืองพัทยา ได้ทำการรังวัดแนวเขตจากระดับน้ำทะเลสูงสุด แล้วพบว่าอาคารอยู่ในแนวที่มีการล่วงล้ำลำน้ำ โดยปัจจุบันได้มีการตัดและพื้นที่ของอาคาร C ไปแล้วเพื่อลดพื้นที่ของอาคารไปแล้วพื่อให้อยู่ในระยะห่างจากทะเลตามกฎหมาย ส่วนอาคาร  B นั้นยังรอการดำเนินการอยู่เนื่องจากการรื้อถอนอาจมีความยากลำบาก

            อย่างไรก็ตามหลักฐานที่ทางบ้านสุขาวดีได้ส่งไปให้มีการพิสูจน์ทราบทางกระบวนการยุติธรรมจนมีคำสั่งระงับและคุ้มครองอาคารในการรื้อถอน  แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาไต่สวนแล้วจึงพิจารณายกเลิกการคุ้มครองในส่วนของอาคาร  A  ซึ่งเมืองพัทยาสามารถเร่งดำเนินการตามขั้นตอนทั้งการปิดประกาศหรือความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร โดยจะให้ทางสุขาวดีทำการรื้อถอนเองภายใน 15 วัน และหากไม่ดำเนินการเมืองพัทยาก็จะเข้าไปรื้ถอนเอง โดยไม่จำเป็นต้องสรรหาผู้รับเหมาเพราะเป็นอาคารที่ไม่ใหญ่มากนัก ทั้งนี้การพิจารณาในชั้นศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุดเสร็จสิ้นแล้วจึงถือว่ากระบวนการสามารถดำเนินการตามคำสั่งศาลได้ทันที

            จวบจนถึงปัจจุบันแม้ศาลปกครองจะออกมาประกาศยกเลิกการคุ้มครองชั่วคราวอาคาร  A  พร้อมป้ายประกาศที่ปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทริมทะเล 11 ไร่แล้ว แต่จนถึงขณะนี้กลับพบว่าเมืองพัทยายังไม่มีการดำเนินการใดๆที่สื่อให้เห็นว่าจะเข้าไปจัดการรื้อถอนอาคารนี้ตามอำนาจของพนักงานท้องถิ่นที่ดูแลที่ดินสาธารณะอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมืองพัทยากระตือรือร้นที่จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้อย่างจริงจัง โดยร่วมกับ สำนักงานที่ดินจงหวัดชลบุรี และกรมเจ้าท่า รวมไปถึงกองทัพเรือเพื่อขอภาพถ่ายทางอากาศ ทั้งนี้ก็เพื่อสรรหาข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินจำนวน 11 ไร่มาประกอบกันเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ กระทั่งท้ายที่สุดเมืองพัทยาก็ออกมาระบุว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินสาธารณะและมีหลักฐานยืนยันที่สามารถชี้แจงได้ ดังนั้นเมื่อศาลปกครองประกาศยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้วเมืองพัทยาก็ควรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป…