หน้าแรก ข่าวประชาสัมพันธ์ ทหารเรือ จับน้ำมันเถื่อนกลางทะเล 350,000 ลิตร ปรับเข้ารัฐ ประมาณ 13 ล้านบาท

ทหารเรือ จับน้ำมันเถื่อนกลางทะเล 350,000 ลิตร ปรับเข้ารัฐ ประมาณ 13 ล้านบาท

428
0
แบ่งปัน

เรือ ต.274 ประเดิมจับลำแรกต้นปี ปีงบประมาณ 2565 เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 350,000 ลิตร จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าปากร่องแม่น้ำท่าจีน สมุทรสาคร ไม่มีชื่อ ไม่มีหมายเลขข้างกราบเรือ ไม่ชักธงสัญชาติ ขานรับนโยบายเข้ม ผู้บัญชาการ ทัพเรือภาคที่ 1 คนใหม่ น้ำมันเถื่อนต้องไม่มีในพื้นที่รับผิดชอบ


วันที่ 8 ตุลาคม 2564 เวลา 16.30 น. ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ได้รับรายงานจาก เรือเอก ฐิติวัฒน์ เอี้ยวสุวรรณ ผู้บังคับการเรือ ต.274 ว่าได้ตรวจพบเป้าหมายเป็นเรือเหล็กสีเขียว ไม่มีชื่อ (ทราบภายหลังว่าชื่อ JP) ไม่มีหมายเลขข้างกราบเรือ ไม่ชักธงสัญชาติ ลักษณะคล้ายเรือบรรทุกน้ำมัน ยาว 36 เมตร กว้าง 6 เมตร ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ได้รับรายงานจากสายข่าวทหารว่า เรือลำนี้มีการลักลอบลำเลียงน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี บริเวณ แลต 13 องศา 19.4 ลิปดา เหนือ ลอง 100 องศา 14.9 ลิปดา ตะวันออก (แบริ่ง 032 ระยะ 6.8 ไมล์ จากทุ่นไฟปากร่องน้ำ จังหวัดสมุทรสาคร จึงเข้าทำการตรวจสอบ พบว่าเป็นเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนจริง จึงได้ทำการควบคุมเรือเดินทางจากสมุทรสาคร เข้าเทียบที่ท่าเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี


ต่อมา นาวาเอก ศุภฤกษ์ จุ้ยหมื่อนไวย หัวหน้านายทหารพระธรรมนูญ ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เข้าตรวจสอบเอกสาร นายธนกฤต ชูศรี ผู้ควบคุมเรือ นายนภดล ชูสุวรรณ์ นายมนตรี แก้วนวล และแรงงานชาวพม่า ปรากฏว่าไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้ ซึ่งนายธนกฤติ ชูศรี บอกว่าเป็นลูกจ้างเดินเรือบรรทุกน้ำมัน จากนายจ้าง จากแท่นน้ำมันประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำเข้าไปส่งที่ท่าเทียบเรือ มหาชัย ไม่มีเอกสารใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.เรือไทย และ พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทยและไม่มีเอกสารแสดงที่มาของน้ำมัน จึงได้บันทึกจับกุม กล่าวโทษ ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจับกุมเรือน้ำมันลำนี้ เป็นเรือลำแรกในต้นปี งบประมาณ 2565 โดยมี พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 และมีนโยบายชัดเจนว่า จะต้องไม่มีการกระทำความผิดในลักษณะนี้ในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่จังหวัดตราด ถึงจังหวัดชุมพร ซึ่งน้ำมันดีเซล 350,000 ลิตร จะต้องถูกปรับเป็นเงินประมาณ 13 ล้านบาท เข้ารัฐอย่างถูกต้องต่อไป