นายอภิสิทธิ์ แหยมบัว เล่าเหตุการณ์ว่า เรื่องดังกล่าวเหตุเกิดวันที่ 12 ก.พ. 65 เวลาประมาณ 03.15 น. บริเวณแยกสาย 3 ตัดพัทยากลาง โดยติดใจตั้งแต่วันแรกเพราะเพื่อนลูกสาวบอกว่าผู้ชายเป็นคนขับ โดยบันทึกลงไปว่าเป็นชื่อของผู้หญิง อายุ 54 ปี และเป่าแอลกอฮอล์เป็น 0 โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการสอบถามและติดตามทั้งๆที่เพื่อนลูกสาวบอกคนขับเป็นผู้ชาย
นายอภิสิทธิ์ แหยมบัว เล่าต่อว่า นอกจากไปหาสารวัตรเจ้าของคดีแล้ว ทางสารวัตรให้ตนเองไปหาหลักฐานพยานมา จนผมเอาคลิปวงจรปิดของเมืองพัทยาไปให้สารวัตร สารวัตรจึงได้เรียกคู่กรณีมาแจ้งข้อกล่าวหา แจ้งความเท็จ จนขึ้นศาลจังหวัดพัทยาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 66 ที่ผ่านมา
ส่วนด้านคดีนั้นตำรวจยังไม่มีการชี้ว่าใครผิดใครถูกเลย แต่ประมาณเดือนธันวาคม 2565 คู่กรณีมีการพูดคุยตกลงต่อหน้าสารวัตรเจ้าของคดี โดยคู่กรณีบอกจะให้เดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี ผมยังไม่ได้ตอบตกลง มาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ สารวัตรโทรศัพท์มาบอกว่าทางคู่กรณีจะจ่ายให้ 150,000 บาท จะเอาไหม ผมบอกยังไม่โอเค ทางคู่กรณีก็หายไปเลยจนถึงทุกวันนี้
นายอภิสิทธิ์ แหยมบัว พูดเพิ่มเติมว่า ตนเองติดใจตั้งแต่วันแรกทราบว่าผู้ชายเป็นคนขับ แต่ไม่มีการติดตามคนขับตัวจริงว่าเป็นใคร จนปล่อยเลยมาข้ามปีจนมาดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จ และยังไม่มีการดำเนินคดีกับคนขับรถจริงเลยจนปัจจุบันเรื่องยังไม่ไปถึงไหนเลย ซึ่งจริงๆแล้วถ้าวันเกิดเหตุเขายอมรับถึงเมาหรือไม่เมาก็ขึ้นอยู่กับสารวัตร ซึ่งการเปลี่ยนตัวนั้นเขาแสดงเจตนาหลบหนีเลย ซึ่งถ้าเขาถูกจริงทำไมต้องหลบหนี
นายอภิสิทธิ์ แหยมบัว ยังเปิดเผยอีกว่า เรื่องดังกล่าวตนเองยังเสียเงินให้กับทนายความเป็นจำนวนเงิน 35,000 บาท แต่ทนายคนดังกล่าวไม่ได้ทำอะไรให้เลย และติดต่อไม่ได้อีก ส่วนด้านคดีก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาชี้ชัดเลยเกี่ยวกับคดีว่าใครผิดใครถูกรวมทั้งคนขับจริงยังไม่มีการดำเนินคดีอะไรเลย
ส่วนภาพวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าเมื่อรถชนกันแล้ว ทางรถกระบะมีผู้ชายลงมาทางด้านคนขับ ก่อนหายไป แล้วมีผู้หญิงมาเอาเอกสารทางด้านฝั่งซ้ายรถก่อนเดินไปนั่งภายในรถตรงที่คนขับจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมา จึงลงมาจากรถ