หน้าแรก ข่าวสังคม 2 รัสเซียควงทนายลงบันทึกประจำวัน ซื้อคอนโดร่วม 10 ล้านแต่พบโครงการไม่คืบ

2 รัสเซียควงทนายลงบันทึกประจำวัน ซื้อคอนโดร่วม 10 ล้านแต่พบโครงการไม่คืบ

488
0
แบ่งปัน
https://youtu.be/mFp2j_8sjK4

2 รัสเซียควงทนายลงบันทึกประจำวัน ระบุจ่ายเงินซื้อคอนโดโครงการยักษ์ชื่อดังริมเขื่อนในต่างจังหวัดหมด เงินไปร่วม 10 ล้านนานกว่า 2 ปีแต่พบโครงการไม่คืบ แถมไม่ได้ค่าแคชแบ็ค 3 % ตามสัญญา วอนเจ้าหน้าที่เป็นตัวกลางประสานโครงการขอเงินคืน

                เวลา 10.00 น.วันนี้ (10 พ.ย.) Mr.Rustan Ataev อายุ  53 ปีพร้อมด้วย Mr.Aaron Pir อายุ 38 ปี สัญชาติรัสเซีย เดินทางพร้อมด้วย น.ส.สุพิชญา หมื่นแก้ว ทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน กรณีที่ใช้เงินซื้อห้องพักในโครงการคอนโดมิเนียมชื่อดังแห่งหนี่ง ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี แต่โครงการตั้งอยู่ริมเขื่อนในต่างจังหวัด สนนราคาห้องละกว่า 3 ล้านกว่าบาท แต่ปรากฏว่าจ่ายเงินค่าห้องไปตั้งแต่ปลายปี 2562 ซึ่งมีสัญญาว่าระหว่างการก่อสร้างโครงการจะได้รับเงินแคชแบ็คจากค่าห้องจำนวน 3 % แต่หลังจากชำระเงินไปกับได้ค่าแคชแบ็คเพียง 2 เดือนเท่านั้นจนถึงปัจจุบัน ขณะที่จากการตรวจสอบพบว่าโครงการนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากนัก มีเพียงฐานรากและโครงสร้างของคอนโดบางส่วน ด้วยสืบทราบมาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่กรรมสิทธิ์ที่ดินของโครง การว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ จนถูกกรมป่าระงับการก่อสร้างไปจึงอยากให้ได้เงินค่าห้องคืนเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถก่อสร้างได้และไม่อยากรอเนื่องจากใช้ระยะเวลานานอีกทั้งยังไม่มีความชัดเจน

                Mr.Rustan Ataev ลูกค้าของโครงการที่เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่เปิดเผยผ่านล่ามแปลมภาษาว่าซื้อคอนโดมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2562 เพราะเห็นว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง โดยพบว่าโครงการนี้มีหลายร้อยยูนิตจากหลายอาคารตั้งอยู่ริมเขื่อนในต่างจังหวัด ซึ่งตามสัญญามีการระบุว่าจะได้รับเงินแคชแบ็คคืนจากราคาค่าห้อง 3 % ทุกเดือน ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรกหลังจากที่ซื้อห้องพักไปก็ได้รับเงินตามข้อตกลง แต่หลังจากนั้นกลับไม่ได้รับเงินอีกเหมือนกับเพื่อนๆที่ซื้อห้องมาหลายราย ขณะที่ต่อมาเมื่อเดินทางไปยังโครงการที่ต่างจังหวัดหลังเวลาผ่านไปหลายเดือนก็พบว่าโครงการไม่มีความคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็นเพราะพบว่ามีเพียงฐานของอาคารและเสาอาคารบางส่วนเท่านั้น อีกทั้งยังทราบว่าที่ดินของโครงการมีข้อพิพาทกับทางกรมป่าไม้ ซึ่งกำลังเตรียมฟ้องร้องกันอยู่ว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ด้วยมีเอกสารจากทางสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม่ที่ 10 ระบุว่าที่ดินแปลงนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และกำลังให้สำนักงานที่ดินตรวจสอบ ซึ่งแม้ว่าทางโครงการจะระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ที่ดินถูกต้องตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งถือว่ามีการครอบครองก่อนที่จะมีการประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่ด้วยความไม่มั่นใจจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ประสานทางโครงการขอเงินที่จ่ายค่าเช่าซื้อห้องพักคืน

                ด้าน น.ส.สุพิชญา หมื่นแก้ว ทนายความของผู้เสียหาย ระบุว่าด้วยลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าโครงการจะติดปัญหาในเรื่องของกฏหมายหรือไม่ เพราะจากการเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่จริงของโครงการพบว่ายังไม่มีความคืบหน้ามากนักแม้จะผ่านเวลามาหลายนับปี จึงต้องการเจรจากับทางโครงการในเรื่องของเงินแคชแบ็คและอยากได้รับเงินค่าห้องคืน แต่จากการประสานทางโครงการมาตลอดก็ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด ขณะที่จากการตรวจสอบพบว่าเอกสารสิทธิ์ที่ดินของโครงการนั้น พบว่ายังมีการพิจารณากันอยู่ในส่วนของสำนักงานที่ดินถึงการได้มาและการครอบครองกรรมสิทธิ์ เพราะก่อนหน้านี้จากการตรวจสอบของกรมป่าไม้ระบุว่าที่ดินของโครงการอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ขณะที่ทางโครงการเองก็ยืนยันว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างถูกต้องก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตป่าสงวนฯ ซึ่งกรณีนี้ยังไม่มีความแน่ชัดและกำลังรอในขั้นตอนของการพิสูจน์สิทธิ์ ทางผู้ซื้อจึงเกิดความกังวลและได้ไปร้องที่สำนักงานเพื่อให้พามาลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ด้วยต้องการให้เจ้าหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานเพื่อร้องขอเงินค่าห้องคืนเท่านั้น โดยยังไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีใดๆ