หน้าแรก ข่าวอาชญากรรม   น้องผู้หญิงที่ถูกคนจีนแจ้งความขโมยบัตรเข้าร้องเพจสายไหมต้องรอดอ้างคนจีนออกอุบายให้ไปกดเงินแล้วหวังข่มขืน ตำรวจสอบพร้อมให้ความเป็นธรรม

  น้องผู้หญิงที่ถูกคนจีนแจ้งความขโมยบัตรเข้าร้องเพจสายไหมต้องรอดอ้างคนจีนออกอุบายให้ไปกดเงินแล้วหวังข่มขืน ตำรวจสอบพร้อมให้ความเป็นธรรม

55
0
แบ่งปัน

จากกรณีนาย Mu Dihui Wu Dihui  อายุ 33 ปี สัญชาติจีน มาแจ้งความที่ สภ.บางละมุง ว่ามีสาวไทยไม่ทราบชื่อและนามสกุล  ซึ่งรู้จักผ่านแอปโดยรู้จักที่ กทม. ได้ประมาณ 6-7 วัน  ก่อนผู้หญิงชักชวนให้มาท่องเที่ยวที่เมืองพัทยา โดยพักภายในซฮยเขาตาโล  ซึ่งระหว่างนอนพักในห้องพักได้มี SMS เข้ามาในมือถือแจ้งว่ามีเงินสดจำนวน 32,815 บาท ถูกใช้ในการซื้อสร้อยคอทองคำ 2 ครั้ง   ส่วนตัวผู้หญิงสาวได้หายไป   จึงได้มาแจ้งความลงบันทึก เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวคนดังกล่าวนำบัตรไปทำความเสียหายอีก 

ล่าสุด นางสาว   บี    นามสมมุติ   น้อง ผญ ในคลิปจะเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมกับ   นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ว่าที่คนจีนเข้าแจ้งความและมีข่าวลงไม่เป็นความจริง เป็นหนังคนละม้วน โดยอ้างว่าคนจีนเป็นคนออกอุบายให้ไปรูดเงินสดที่ร้านทองร้านนี้เอง พอได้เงินเทอก็เดินนำเงินมาให้คนจีนทุกบาททุกสตางค์  จากนั้นคนจีนก็พยายามจะข่มขืนแต่เธอไม่ยอม ก่อนจะหนีมามาขอความช่วยเหลือจากวิน จยย.  วินจึงพาเธอมาส่งขึ้นรถแท๊กซี่กลับบ้าน 

โดยหลังจากนั้น นายเอกภพ ได้พานางสาว บี มาที่เกิดเหตุร้านปิ้งย่างภายในซอยเขาตาโลซึ่งพบว่าร้านยังไม่เปิดให้บริการ ก่อนที่จะพาไปจุดที่ขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้าง โดย นาย นิด นามสมมุติ จักรยานยนต์เล่าว่า  ในวันเกิดเหตุนั้น พบ นางสาว บี ได้ วิ่งมาเรียกจักรยานยนต์รับจ้าง โดยมีท่าทีตกใจโดยเล่าว่าโดยคนจีนจะข่มขืนและเอามือถือไป  ตนก็เลยบอกว่าให้ไปแจ้งความไหมโดยนางสาวบีบอกว่าให้ไปส่งทำซิมการ์ดก่อนที่เซ็นทรัลพัทยาจากนั้นเมื่อทำซิมการ์ดเสร็จนางสาวบีก็ขอเดินทางกลับกรุงเทพโดยทันทีโดยไม่ได้ไปแจ้งความแต่อย่างใด

ทางด้านนางสาวบีได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าหลังจากที่ตนหนีจากชาวจีนที่พยายามข่มขืนต้นแล้วนั้นก็ได้มาขอความช่วยเหลือจากรถจักรยานยนต์รับจ้างแต่เนื่องจากตนเห็นว่าซิมการ์ดโทรศัพท์และโทรศัพท์ นั้น โดนคนจีนเอาไปจึงได้ไปทำซิมการ์ดและซื้อโทรศัพท์ใหม่ใหม่จากนั้นก็เลยเดินทางกลับกรุงเทพโดยทันที The Ways ไม่ได้เข้าแจ้งความแต่อย่างใดจากนั้นก็เห็นข่าวซึ่งมีรูปหน้าตน จึงได้เข้าร้องเรียนกับ Pages สายไหมต้องรอด

นายเอกภพกล่าวว่าหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนมาแล้วนั้นก็ได้เดินทางลงมาตรวจสอบซึ่งพบว่าคำให้การของคนจีนและผู้หญิงนั้นให้การไม่ตรงกันหลายประเด็นจึงได้ลงมาตรวจสอบที่เกิดเหตุและจักรยานยนต์รับจ้างรวมถึงร้านทองซึ่งจากที่คนจีนให้ข่าวไปนั้นทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยเสื่อมเสียจึงต้องลงมาหาความจริงว่าทั้งสองคนใครเป็นคนโกหกกับเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยหลังจากนี้จะเดินทางไปที่สภ. บางละมุง เพราะคนจีนกำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนและให้ปากคำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ซึ่งจะได้ชี้ชัดว่าใครเป็นผู้โกหกกันแน่

จากนั้น นายเอกภพได้นำนางสาวบีมาพบกับคนจีนต่อหน้า พ.ต.อ.นาวิน สินธุรัตน์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง  โดยทั้งสองคนต่างก็ให้การไม่ตรงกันมีเพียงบางอย่างที่สอดคล้องกันเท่านั้น

นาย Mu Dihui Wu Dihui  อายุ 33 ปี สัญชาติจีน  เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า  รู้จักผู้หญิงไทยผ่านแอฟวีแชท 3 วัน ตนได้ไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องที่สนามบิน และก็ได้โพสว่าอยู่สนามบินในวีแชท หลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวได้เห็นโพสก็ได้ทักวีแชทว่าขอติดรถไปที่พัทยาด้วย ชาวจีนก็ให้ติดรถไปด้วย พอถึงพัทยาชาวจีนก็ได้ขึ้นไปนอนพักหลักจากมีอาการเหนื่อย ผู้หญิงคนดังกล่าวก็อ้างว่าจะไปหาโรงแรม ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถไปเปิดรถ ขโมยบัตรเครดิตไป ก็ขโมยไปซื้อทองภายในซอยเขาตาโล 3ครั้ง โดยใช้บัตรเครดิตที่ลงท้ายด้วย 4600 โดยรูดไปจำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เวลา 12.07 นาที โดยรูดไป 16000 บาท  ครั้งที่ 2 เวลา 12.10 รูดไปอีก 16000 บาท และใช้บัตรเครดิตที่ลงท้ายด้วย 6253 รูดไปในเวลา 11.52 นาที 10190 บาท หลังจากผู้หญิงได้รูดบัตรเสร็จก็นำบัตรเครดิสมาคืนเอาไว้ที่กระเป๋า และได้ขโมยบัตร ATM อีกในหนึ่งไป โดยนำไปซื้อของที่ 7-11 ในเวลา 11.20 นาที โดยรูดซื้อของไป 85.87 หยวน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 400 กว่าบาท ซึ่งภายในบัตรยังมีวงเงินจำนวน แสนกว่าบาท ผู้หญิงคนดังกล่าวได้เอาไป  หลังจากที่ชาวจีนตื่นขึ้นมาก็มีข้อความการใช้เงินเตือนเข้ามาในโทรศัพท์  ชาวจีนเลยลงมาดูบัตรที่รถพบว่าบัตร 2 ใบ ยังอยู่ แต่มีบัตรอีก 1 ใบที่หายไป

พ.ต.อ.นาวิน สินธุรัตน์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง  จากการสอบสวนคนจีนนะครับ กับผู้หญิงไทยเนี่ย ก็ให้การ ขัดแย้ง กันในบางประเด็น และรอให้การสอดคล้องให้รับประเด็น ทางตำรวจ ก็ต้องทำงานได้เป็นหลักฐานนะครับ เบื้องต้นแล้วได้ให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่ เก็บข้อมูลต่างๆตรวจสอบกล้องวงจรปิด  ซึ่งยังไงก็ให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย